วันที่ 22 ธันวาคม 2568 ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชา พล.อ.อ.ประภาส สอนใจดี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวฯ กล่าวถึงกรณี สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาแสดงท่าทีและส่งสัญญาณถึงยุทธศาสตร์ความขัดแย้งระยะยาวกับประเทศไทยว่า ประเด็นดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นถ้อยแถลงจากผู้นำระดับสูงของกัมพูชา ซึ่งมีลักษณะสร้างความเชื่อและการมีส่วนร่วมภายในประเทศของตนเอง
พล.อ.อ.ประภาส ย้ำว่า ประชาชนไทยและกัมพูชาไม่ได้มีความขัดแย้งกัน และสิ่งที่กองทัพไทยดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามหลักความชอบธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อกล่าวหาเรื่องการใช้โล่มนุษย์หรือการใช้อาวุธในพื้นที่พลเรือน ซึ่งกองทัพไทยไม่เคยกระทำ
วาทกรรมหรือการโฆษณาชวนเชื่อไม่ใช่สิ่งที่ประชาคมโลกเชื่อถือ สิ่งที่โลกให้ความสำคัญคือข้อเท็จจริงและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยยึดถือมาโดยตลอด เราไม่จำเป็นต้องตอบโต้วาทกรรมใด ๆ แต่จะยืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง หากมีการรุกล้ำอธิปไตย เราจะตอบโต้ในระดับที่เหมาะสม และดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่ากัมพูชาจะยอมรับข้อเสนอของฝ่ายไทย พล.อ.อ.ประภาส กล่าว
ถามถึงกรณีผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเสนอขอหยุดยิงในเวลา 22.00 น. ของคืนเดียวกัน ขณะที่ผู้นำกัมพูชาบางส่วนกลับส่งสัญญาณไปในทิศทางตรงกันข้าม พล.อ.อ.ประภาส ระบุว่า ไม่ได้ทำให้การทำงานของกองทัพยุ่งยาก พร้อมขอให้รอฟังถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศ โดยยืนยันว่าหน่วยงานความมั่นคงยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทหารแนวหน้ายังคงสามารถควบคุมพื้นที่ได้ แม้ต้องเผชิญความเสี่ยง
ที่ผ่านมาเคยมีการพูดถึงการหยุดยิง แต่ในทางปฏิบัติกลับยังมีการปะทะหรือซุ่มโจมตี เรื่องนี้สะท้อนถึงความจริงใจ ซึ่งกองทัพเข้าใจและเห็นใจผู้ปฏิบัติงาน ยืนยันว่าการดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.อ.ประภาส กล่าว
สำหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ที่มีกำหนดในวันที่ 24 ธันวาคมนี้ พล.อ.อ.ประภาส ระบุว่า ขอให้เป็นไปตามกลไกที่กำหนดไว้ และย้ำว่าขั้นตอนขณะนี้คือการนำข้อเท็จจริงเข้าสู่เวทีการเมืองระหว่างประเทศ โดยต้องติดตามคำแถลงอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศเป็นหลัก
ด้าน พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวเสริมว่า หากฝ่ายกัมพูชายกระดับสถานการณ์ชายแดนจนกลายเป็นสงคราม ถือเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง โดยยืนยันว่ากองทัพไทยมีความพร้อมในระดับสูงสุดต่อทุกสถานการณ์ แม้จะไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดการเตรียมการ พร้อมย้ำว่าบทเรียนจากอดีตจะไม่ถูกปล่อยให้เกิดซ้ำอีก
ขณะที่ นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า การปฏิบัติการของฝ่ายไทยตั้งแต่เริ่มเกิดการปะทะจนถึงปัจจุบันมีความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไทยยังคงรอการตอบรับจากกัมพูชาใน 3 เงื่อนไขสำคัญ ได้แก่ การยอมรับว่าเป็นฝ่ายรุกล้ำอธิปไตยไทย การเป็นฝ่ายเริ่มต้นเหตุ และการดำเนินการเพื่อหยุดยิงและเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ต่อไปอย่างสันติ
